นัดชิงคาราบาว คัพ
เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศกันแล้วสำหรับการแข่งขันลูกหนัง “คาราบาว คัพ” หลังฟาดฟันกันมาตั้งแต่ต้นซีซัน โดยคู่ชิงชนะเลิศเป็นการพบกันของ “สิงห์บลู” เชลซี อันดับ10 กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูง คู่นี้ฟาดแข้งวันที่ 25 ก.พ. ที่เวมบลีย์ เริ่มเตะเวลา 22.00น. ช่องไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ถ่ายทอดสด
เรียกได้ว่าคู่ชิงคาราบาว คัพ ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งดรีมไฟนอลเลยทีเดียว แม้ว่าถ้าดูจากฟอร์มการเล่นและอันดับในตาราง ลิเวอร์พูลจะเหนือกว่าเชลซีเยอะก็จริง แต่อย่างที่รู้ๆกันว่าเกมนัดเดียวแถมยังเป็นนัดชิงชนะเลิศแบบนี้ไม่มีคำว่า “ชัวร์” ว่าทีมที่ฟอร์มดีหรือเหนือกว่าทุกด้านจะคว้าแชมป์ไปครอง
สำหรับถ้วยใบนี้ก็ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ค่อนข้างถูกโฉลกกับถ้วยใบนี้ เพราะคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 9 ครั้งด้วยกัน ขณะที่เชลซี ก็ไม่น้อยหน้าทำได้ถึง 5 ครั้งด้วยกัน เรียกได้ว่าทั้งสองทีมก็มักจะทำได้ดีในถ้วยใบนี้
ทั้งสองทีมเจอกันมาในรอบชิงชนะเลิศแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี 2005 เชลซีชนะลิเวอร์พูล 3-2 และเพิ่งเจอกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยในเกมดังกล่าวลิเวอร์พูลชนะจุดโทษเชลซีไปได้ 11-10 หลังเสมอในเวลา 90 นาที 0-0
เรียกได้ว่าการเจอกันของทั้งสองทีมในวันอาทิตย์นี้ซัดกันมันส์แน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการแชมป์ไปครอง เริ่มจากฝั่งลิเวอร์พูล บรรดาแข้ง “หงส์แดง” ก็ต้องการคว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นการส่งท้ายเจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ที่เตรียมจะอำลาทีมในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้
เช่นเดียวกับทางเชลซี ที่ “สิงห์บลู” ต้องการคว้าแชมป์มาครองเพื่อเรียกความมั่นใจ และเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งภายใต้ยุคสมัยใหม่ของท็อดด์ โบห์ลี เจ้าของสโมสรชาวมะกัน นอกจากนั้น หากเมาริซิโอ โปเชตติโน กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ก็จะได้เซฟเก้าอี้ของตัวเองไปในตัวด้วย
มาดูผลงานที่ผ่านมากันบ้าง ลิเวอร์พูลรอบ3 ชนะ เลสเตอร์ 3-1 (เหย้า), รอบ 4 ชนะ บอร์นมัธ 2-1 (เยือน), รอบ 8 ทีม ชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 5-1 (เหย้า) รอบตัดเชือกนัดแรกชนะ ฟูแลม 2-1 (เหย้า) นัดสองเสมอ 1-1 (เยือน)
ขณะที่เชลซีลงเล่นตั้งแต่รอบ 2 ชนะเอเอฟซี วิมเบิลดัน 2-1 (เหย้า), รอบ 3 ชนะไบรท์ตัน 1-0 (เหย้า), รอบ 4 ชนะแบล็คเบิร์น 2-0 (เหย้า), รอบ 8 ทีม ชนะจุดโทษ นิวคาสเซิล 4-2 หลังเสมอในเวลา 90 นาที 1-1 รอบรองชนะเลิศ นัดแรกแพ้มิดเดิลสโบรช์ 0-1 (เยือน) นัดสองชนะ 6-1(เหย้า)
มาดูกันที่สภาพความพร้อมกันบ้างตัวเจ็บนั้นทั้งสองทีมมีแข้งเจ็บเพียบไม่แพ้กัน แต่เชลซีอาจจะได้เปรียบเล็กน้อยเนื่องจากตัวที่เจ็บนั้นเจ็บยาวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเวสลีย์ โฟฟานา, รีซ เจมส์, โรเมโอ ลาเวีย, มาร์ค กูกูเรญา, เลสลีย์ อูโกชุกวู ซึ่งไม่ส่งผลเท่าไร เพราะโปเชตติโนชินแล้ว
แต่ที่หนักก็คือ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือของลิเวอร์พูล ที่แข้งโดนอาการบาดเจ็บแบบรัวๆล่าสุดเพิ่งเสียดิโอโก โชตา, เคอร์ติส โจนส์ รวมถึงอลิสสัน เบคเกอร์ ไปหมาดๆ ตามไปสมทบกับคนที่เจ็บเดิมอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์,โดมินิค โซโบซไล, โจแอล มาติป และติอาโก อัลคันทารา
เท่านั้นยังไม่พอ คลอปป์ยังต้องรอเช็กอาการของโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่งอีกด้วยหลังยังไม่ฟิตเต็มร้อย แต่เชื่อว่ากองหน้าทีมชาติอียิปต์น่าจะได้ออกสตาร์ตตัวจริงค่อนข้างแน่ ยังไงกุนซือเลือดเบียร์ต้องเข็นดาวยิงวัย 31 ปีไปยืนขู่ในแดนหน้า
อย่างที่บอกไปว่าเกมนัดชิงชนะเลิศไม่มีใครสนใจผลงานในอดีต แต่ทุกคนสนใจแค่ในเกมวันนั้นวันเดียว ใครจะดีเลิศมาก่อนหน้านี้ก็ตกม้าตายวันสุดท้ายก็เยอะแยะ เช่นเดียวกันบางทีเล่นได้ห่วยแตกลุ่มๆดอนๆ แต่ฉายแสงเกมเดียวจนเข้าวินไปก็มีเยอะ
เลยอยากบอกคอบอลทั้งหลายไม่ว่าจะแฟนหงส์, สาวกสิงห์ หรือแฟนบอลทีมอื่นๆก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะรับรองมันแน่นอน ติดตามได้ทางช่องไทยรัฐทีวี ช่อง32!!
*อิงจากthairath.co.th
เรียกได้ว่าคู่ชิงคาราบาว คัพ ในปีนี้เป็นอีกหนึ่งดรีมไฟนอลเลยทีเดียว แม้ว่าถ้าดูจากฟอร์มการเล่นและอันดับในตาราง ลิเวอร์พูลจะเหนือกว่าเชลซีเยอะก็จริง แต่อย่างที่รู้ๆกันว่าเกมนัดเดียวแถมยังเป็นนัดชิงชนะเลิศแบบนี้ไม่มีคำว่า “ชัวร์” ว่าทีมที่ฟอร์มดีหรือเหนือกว่าทุกด้านจะคว้าแชมป์ไปครอง
สำหรับถ้วยใบนี้ก็ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ค่อนข้างถูกโฉลกกับถ้วยใบนี้ เพราะคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 9 ครั้งด้วยกัน ขณะที่เชลซี ก็ไม่น้อยหน้าทำได้ถึง 5 ครั้งด้วยกัน เรียกได้ว่าทั้งสองทีมก็มักจะทำได้ดีในถ้วยใบนี้
ทั้งสองทีมเจอกันมาในรอบชิงชนะเลิศแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี 2005 เชลซีชนะลิเวอร์พูล 3-2 และเพิ่งเจอกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยในเกมดังกล่าวลิเวอร์พูลชนะจุดโทษเชลซีไปได้ 11-10 หลังเสมอในเวลา 90 นาที 0-0
เรียกได้ว่าการเจอกันของทั้งสองทีมในวันอาทิตย์นี้ซัดกันมันส์แน่นอน เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการแชมป์ไปครอง เริ่มจากฝั่งลิเวอร์พูล บรรดาแข้ง “หงส์แดง” ก็ต้องการคว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นการส่งท้ายเจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ที่เตรียมจะอำลาทีมในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้
เช่นเดียวกับทางเชลซี ที่ “สิงห์บลู” ต้องการคว้าแชมป์มาครองเพื่อเรียกความมั่นใจ และเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งภายใต้ยุคสมัยใหม่ของท็อดด์ โบห์ลี เจ้าของสโมสรชาวมะกัน นอกจากนั้น หากเมาริซิโอ โปเชตติโน กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ก็จะได้เซฟเก้าอี้ของตัวเองไปในตัวด้วย
มาดูผลงานที่ผ่านมากันบ้าง ลิเวอร์พูลรอบ3 ชนะ เลสเตอร์ 3-1 (เหย้า), รอบ 4 ชนะ บอร์นมัธ 2-1 (เยือน), รอบ 8 ทีม ชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 5-1 (เหย้า) รอบตัดเชือกนัดแรกชนะ ฟูแลม 2-1 (เหย้า) นัดสองเสมอ 1-1 (เยือน)
ขณะที่เชลซีลงเล่นตั้งแต่รอบ 2 ชนะเอเอฟซี วิมเบิลดัน 2-1 (เหย้า), รอบ 3 ชนะไบรท์ตัน 1-0 (เหย้า), รอบ 4 ชนะแบล็คเบิร์น 2-0 (เหย้า), รอบ 8 ทีม ชนะจุดโทษ นิวคาสเซิล 4-2 หลังเสมอในเวลา 90 นาที 1-1 รอบรองชนะเลิศ นัดแรกแพ้มิดเดิลสโบรช์ 0-1 (เยือน) นัดสองชนะ 6-1(เหย้า)
มาดูกันที่สภาพความพร้อมกันบ้างตัวเจ็บนั้นทั้งสองทีมมีแข้งเจ็บเพียบไม่แพ้กัน แต่เชลซีอาจจะได้เปรียบเล็กน้อยเนื่องจากตัวที่เจ็บนั้นเจ็บยาวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเวสลีย์ โฟฟานา, รีซ เจมส์, โรเมโอ ลาเวีย, มาร์ค กูกูเรญา, เลสลีย์ อูโกชุกวู ซึ่งไม่ส่งผลเท่าไร เพราะโปเชตติโนชินแล้ว
แต่ที่หนักก็คือ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือของลิเวอร์พูล ที่แข้งโดนอาการบาดเจ็บแบบรัวๆล่าสุดเพิ่งเสียดิโอโก โชตา, เคอร์ติส โจนส์ รวมถึงอลิสสัน เบคเกอร์ ไปหมาดๆ ตามไปสมทบกับคนที่เจ็บเดิมอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์,โดมินิค โซโบซไล, โจแอล มาติป และติอาโก อัลคันทารา
เท่านั้นยังไม่พอ คลอปป์ยังต้องรอเช็กอาการของโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่งอีกด้วยหลังยังไม่ฟิตเต็มร้อย แต่เชื่อว่ากองหน้าทีมชาติอียิปต์น่าจะได้ออกสตาร์ตตัวจริงค่อนข้างแน่ ยังไงกุนซือเลือดเบียร์ต้องเข็นดาวยิงวัย 31 ปีไปยืนขู่ในแดนหน้า
อย่างที่บอกไปว่าเกมนัดชิงชนะเลิศไม่มีใครสนใจผลงานในอดีต แต่ทุกคนสนใจแค่ในเกมวันนั้นวันเดียว ใครจะดีเลิศมาก่อนหน้านี้ก็ตกม้าตายวันสุดท้ายก็เยอะแยะ เช่นเดียวกันบางทีเล่นได้ห่วยแตกลุ่มๆดอนๆ แต่ฉายแสงเกมเดียวจนเข้าวินไปก็มีเยอะ
เลยอยากบอกคอบอลทั้งหลายไม่ว่าจะแฟนหงส์, สาวกสิงห์ หรือแฟนบอลทีมอื่นๆก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะรับรองมันแน่นอน ติดตามได้ทางช่องไทยรัฐทีวี ช่อง32!!
*อิงจากthairath.co.th
โพสต์ฮอต
-
บาร์เซโลน่าให้ความสนใจในตัวราชม์ฟอร์ด และเขาก็พิจารณาอย่างจริงจังที่จะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
-
ประวัติเลเวอร์คูเซ่น (Bayer 04 Leverkusen) ยอดทีมลีกเยอรมนี
-
ไวกิงเกอร์ เรยาวิคเจอดวลยาก! คาดเกมเดือดชิงจ่าฝูงยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก
-
พรีวิวการแข่งขันระหว่าง ยูเวนตุส พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
-
วิเคราะห์บอล เอเอส โรม่า VS สปอร์ติ้ง บราก้า
-
ผลบอล ยูเวนตุส พบ แมนซิตี้: เรืออาการหนักโดนม้าดีดจมคาสนาม